....ผู้ปิดทองหลังพระ คือ ผู้ทำให้องค์พระงามสมบูรณ์.... “…การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับ สอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…” พระบรมราโชวาท
10/28/2551
ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ
เปิดระเบียบ สตช. ต้องถอดยศ"แม้ว" จาก"พันตำรวจโท"เหลือแค่"นาย"เหตุถูกศาลฎีกา"สั่งจำคุก-หนีคดีอาญา"
ผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา จำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 และ 122
ไม่เพียงแต่เป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) หรือเทียบเท่าชั้น"เจ้าพระยา"ที่ได้รับพระราชทานคืนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์พ.ศ. 2548 เท่านั้น
แต่ยังป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ถูกถอดยศ "พันตำรวจโท"ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547และ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547
ตาม พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 นั้น กำหนดเรื่องการ"ถอดยศ"นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรไว้ในมาตรา 28 และ 29 ดังนี้
มาตรา 28 การถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ
มาตรา 29 การให้ออกจากว่าที่ยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือการถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้น ประทวน ให้ผู้มีอำนาจสั่งตามมาตรา 26 วรรคสาม หรือมาตรา 27 แล้วแต่กรณี สั่งได้ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากมาตรา 28 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออก"ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547" มี พล.ต.อ. สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามและประกาศ ณ วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2547
สำหรับรายละเอียดของระเบียบดังกล่าว มีดังนี้
เนื่องจากผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4)มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม
(2)ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
(3)ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต
(4)กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
(5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(7)ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ
ข้อ 2 หน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาและดำเนินการถอดยศตำรวจ
(1) ข้า ราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้กองวินัย หรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัยมีหน้าที่รับผิด ชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 แล้วแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ให้กองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาถอดยศ เว้นแต่กรณีตามข้อ 1(7) เมื่อมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้วให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการส่งเรื่องให้ กองทะเบียนพล รวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาถอดยศต่อไป
(2) ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งยศเป็นผู้รับผิดชอบในการ พิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ ๑ แล้วดำเนินการสั่งถอดยศ พร้อมทั้งรายงานให้สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ผ่านกองทะเบียนพล) ทราบ
(3) ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือถูกฟ้องในคดีล้มละลายอันเนื่องมาจากการก่อหนี้สินขึ้นโดยทุจริตของผู้ที่ดำรงยศตำรวจทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว หรือยังคงรับราชการอยู่ในหน่วยงานอื่นของรัฐหา ข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้วส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกอง ทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ถอดยศต่อไป
จากระเบียบดังกล่าวจะเห็นว่า พฤจิกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเหตุในการ"ถอดยศ"ถึง 2 ข้อคือ
(2) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
(6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
หนึ่ง ในส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกนั้น ให้กองวินัย หรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัยมีหน้าที่รับผิด ชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศแล้วแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง ให้กองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาถอดยศ
สอง ในส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีคดีออาญาไปอยูที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้นให้ทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา ของผู้ที่ดำรงยศตำรวจทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว หาข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้วส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกอง ทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ถอดยศต่อไป
จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เห็นชัดว่า แล้วว่า พฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเหตุตามระเบียบทั้ง 2 ประการ จึงอยู่ที่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบหรือไม่
ทั้งนี้คงต้องดูที่ผลว่า ในที่สุดแล้ว "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" จะมีสถานะเพียง"นายทักษิณ ชินวัตร"หรือไม่
6/17/2551
ตำรวจเคาะกะลา ให้หมา ดีใจอีกแล้วครับท่าน
ถ้าใครติดตามข่าว จะมีอยู่วันหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยวกับการเลื่อนยศ ให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ที่มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป เขาเคาะกะลาให้หมาดีใจอีกแล้ว ซึ่งสร้างความฮือฮาให้แวดวงตำรวจชั้นผู้น้อยพอสมควร ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวลักษณะเช่นนี้ออกมา มีมาหลายครั้งแล้วก็เงียบหายไป และครั้งนี้ก็คงจะไม่แตกต่างจากครั้งที่แล้วๆ มา มันก็คงต้อง เป็นไปในรูปแบบเดิม คนให้ข่าวเขาหวังอะไร บ่อยครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนบริหารระดับสูงใหม่ และนโยบายลำดับแรก ๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ก็คือ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนหรือข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยนี่แหละ เป็นตัวประกอบที่ค่าตัวถูก และใช้งานได้ดี เดี๋ยวนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็บริหารงานแบบนักการเมือง คือสร้างนโยบายประชานิยมเหมือนกัน บริหารงานแบบคิดเอาเองเบ็ดเสร็จ ไม่เคยถามว่าหน่วยล่าง ผู้ใต้บังคับบัญชา เขาต้องการอะไร แต่เวลาทำอะไรก็จะอ้างเอาตำรวจชั้นผู้น้อยนี่แหละ เหมือนนักการเมืองมักจะอ้างประชาชน เพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องนั่นแหละ ใครจะว่าท่านเสรีพิสุทธิ์ฯ ว่าเป็นเช่นไร ท่านจะผิดหรือจะถูกหรือไม่อย่างไร ซึ่งนักการเมืองก็ตัดสินให้ท่านไปแล้ว ยังเหลือแต่การพิสูจน์ในชั้นศาล แต่ผมเคารพนับถือท่าน ในฐานะที่ท่าน พูดจริงทำจริง ท่านบอกว่าท่านจะเอาข้าราชการตำรวจที่มี วุฒิปริญญา มีความรู้ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มาเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ท่านบอกว่าจะรับบุคคลภายนอกที่มีคุณวุฒิปริญญามาเป็นนายสิบตำรวจ เพื่อเตรียมตัวเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรในโอกาสต่อไป ท่านก็ทำตามที่ท่านพูด ละทำได้จริง ๆ เพื่อขวัญและกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งก็ไม่ต้องใช้งบประมาณมาเหมือนรับตำรวจใหม่เลย ดีกว่ารับลูกนักการเมือง ลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เลว ๆ มาสร้างปัญหาให้สังคม ในขณะที่คนอื่นพูดแล้ว พูดอีแต่ไม่เคยทำ ไม่จริงใจ พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ติดปัญหาโน่น ติดปัญหานี่ แทนที่จะคิดว่าทำยังไงไม่ให้มีปัญหา แต่กลับไปคิดเอาว่าถ้าทำแบบนี้ปัญหามันคืออะไร คิดจะหาแต่ปัญหา และเมื่อไหร่มันจะหมดปัญหาล่ะ เมื่อตั้งหน้ตั้งตาจะหาปัญหา ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหา สุดท้ายก็..." บัวแล้งน้ำ " คราวนี้ก็... เคาะกะลา เหมือนเดิม ถ้า "ควายไม่ทอ ลอกอไม่หักทับ หรือหมาขี้เรื้อนขึ้นขน" คงไม่ได้อย่างที่พูดกัน |
6/03/2551
พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑
พ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551
ซึ่งจะทำให้หญิงซึ่งแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสแล้ว
สามารถที่จะเลือกใช้'นาง'หรือ'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ
และหญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วหากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลง
จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง'หรือ 'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ
โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือประมาณวันที่ 4 มิถุนายน 2551
ส่วนเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ โดยที่การใช้คำนำหน้านามของหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว
ต้องใช้คำนำหน้านามว่า'นาง'คำเดียว โดยมิอาจเลือกได้ตามความสมัครใจ
ทำให้เกิดผลกระทบต่อหญิงดังกล่าวในการดำรงชีวิตประจำวัน
อาทิ การประกอบอาชีพ การศึกษาของบุตร และการทำนิติกรรมต่าง ๆ
ส่งผลให้การใช้คำนำหน้านามในลักษณะดังกล่าวของหญิง
มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
เพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศสมควรกำหนดให้หญิงมีทางเลือก
ในการใช้คำนำหน้านามตามความสมัครใจซึ่งเป็นการสอดคล้อง
กับการเลือกใช้นามสกุลตามกฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล
สำหรับรายละเอียดของพ.ร.บ.ฉบับนี้มีดังนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า 'พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑'
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบการใช้คำนำหน้านามหญิงเป็นอย่างอื่น
ตามที่มีกฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๔ หญิงซึ่งมีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ให้ใช้คำนำหน้านามว่า 'นางสาว'
มาตรา ๕ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง' หรือ
'นางสาว'ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมาย
ว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
มาตรา ๖ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว หากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลง
จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง'หรือ 'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ
โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
รักษาการตามตามพระราชบัญญัตินี้
โดย มติชน วัน พฤหัสบดี ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
สิ่งที่ทนที่สุด
...สิ่งที่ทนที่สุด คือ "หน้า"
สิ่งที่กล้าที่สุด คือ "ใจ"
สิ่งที่ไวที่สุด คือ "ปาก"
สิ่งที่มากที่สุด คือ "อารมณ์"
สิ่งที่คมที่สุด คือ "คำพูด"...
5/16/2551
...แม่กูสอน...
มีความหมายดีมากๆ จึงอยากให้อ่านด้วยกันครับ!
เพื่อน ๆ บอกผมว่า
ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บ
ป่วยจะลำบาก
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร
หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกั นทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้
ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์
แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า
คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ " แม่กูสอน"
แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......กูรักแม่ว่ะ
ใครไม่รัก..................กูรัก
5/14/2551
ตลกฝรั่งที่คนไทยไม่ตลก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก
พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ของวิเศษต่าง ๆ พระองค์เริ่มต้นด้วยการสร้างมหาสมุทรทั้ง 7 โดยการวางของวิเศษของพระเจ้า
พระองค์จะต้องวางทั้งของดีและของไม่ดีคู่กันไป เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่น
ทรงเอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการา วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่ากับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย
เอาป่าเมซอนวางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่าวางไว้ให้ด้วย
เอาขั้วแม่เหล็กโลกวางไว้ในแคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้
เอาเทือกเขาหิมาลัยให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งไว้ให้
ทุกประเทศจะให้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมดจึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน
คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็ก ๆทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัย แต่ด้วยความที่สูงมาก
จึงเกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด ข้าวของดี ๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่น ๆ
เช่น ชายหาดสวย ๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมดี ๆ อาหาร อร่อยที่สุดในโลก ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด
ว้า .!.. แย่แล้ว พระเจ้าทรงคิด ประเทศนี้ท่าทางต้องเจริญ
กว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดแน่นอน พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล
แต่ก็สายเสียแล้วพระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหวให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ประเทศอื่น ๆ จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม
จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่าประเทศอื่น ๆ ได้
เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ไม่ให้ล้ำไปกว่าประเทศอื่น ๆ
ว่าแล้ว พระองค์ก็เลยสร้างนักการเมืองไทยขึ้นมา
........................................
5/12/2551
[ ]- วิธีแก้นิสัยขี้หึง -[ ]
1.บอกเขาแต่แรกว่าคุณ
ลองมาครุ่นคิดใคร่ครวญอีกด้านหนึ่งดูบ้าง
ความขี้หึง เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในโลกจิตของทุกคน ทว่า มันจะผลิก้านแตกใบพอให้ร่มเงา หรือมันจะงอกรกขึ้นไปเบียดพาดทำเสาไฟฟ้าหัก อันนี้อันนั้น ก็เห็นจะขึ้นอยู่กับการหมั่นคอยดูแลตัดกิ่งของแต่ละคน
สัตว์ร้ายแห่งความหึงหวง บางครั้งก็สามารถเติบใหญ่กลายเป็นอสูรกาย คร่าทำลายได้แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่มันถูกออกแบบมาเพื่อให้ปกป้อง
แล้วนี่ความรักของเขาจะต้องมาจบลงแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?
ว่าดีสู้ใครๆ เขาไมได้ ไม่แน่สมัยเด็กๆ เค้าอาจไม่เคยไดรัความรัจากพ่อแม่อย่างเต็มที่ ทำให้โตขึ้นมา โหยหาความรักเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ในหัวใจมีที่ซึ่มิอาจเติมเต็ม หวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองไม่ดีพอ…ที่จะถูกรัก…
5/10/2551
ของสามสิ่งกับความเป็นจริงบนโลก
วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบ่นถึงชีวิตอันแสนรำเค็ญให้พ่อฟังว่า . . .
เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและปรารถนาที่จะยอมแพ้พ่าย
ด้วยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน
ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น
อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว
จัดแจงต้มน้ำในหม้อ 3 ใบด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด
เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก
วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย
แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายให้กับลูกสาวเลย
ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิด และหมดความอดทน
ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร 20 นาทีผ่านไป พ่อก็ปิดเตาแก๊ส
ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง
และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า "ลูกเห็นอะไรบ้าง"
"แครอท ไข่ กาแฟ" เธอตอบ
เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัส แครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม
แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่
นั้นได้ต้มจนสุกแล้ว ท้ายที่สุดเธอให้ลูกสาวลองจิบ กาแฟ ดู
เธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น
แล้วก็ถามพ่อ ว่า " นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ?"
ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด
แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิม แครอท ดูแข็งๆ
และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก
ไข่...ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน
แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น
ขณะที่กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล เมื่อมาเจอน้ำเดือด
น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป . . ."
พร้อมกันนี้ พ่อยังถามลูกสาวว่า
แล้วลูกล่ะเมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไร
ลูกจะเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ"?
แต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอ
และสูญเสียเรี่ยวแรง และกำลังไป
แต่หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง
หรือการเลย์ออฟ . .แม้เปลือกภายนอกยังคงเดิม แต่หัวใจ
และจิตวิญญาณของอาจปวดร้าว และแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นไปได้
หรือหากคุณเหมือน "กาแฟ"
เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100
องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากเป็นดั่งกาแฟ
เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด
นอกจากจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว
ยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย. .
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย: fwmail