1/17/2552

นายครับ....ผมไม่ต้องการงานเลี้ยงครับ


บ่นแก้เบื่อ - เหมียว คุณาธร
นายครับ... ผมไม่ต้องการงานเลี้ยงครับ


“เรา ทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาก็เป็นปีแล้ว ปีใหม่นี้ผู้บังคับบัญชาจึงมีแนวความคิดว่าควรจะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา” นี่คือส่วนหนึ่งที่นายได้กล่าวไว้กับลูกน้องในช่วงปีใหม่ ใครได้ยินได้ฟัง รวมถึงผมด้วย ก็ต้องดีใจและปลื้มปิติยินดี ที่นายยังสนใจ ยังนึกถึงลูกน้องที่ทำงานให้อยู่ อย่างน้อยก็คือขวัญและกำลังใจของลูกน้องที่นายมอบให้ แล้วทำไมผมถึงบอกว่าไม่ต้องการงานเลี้ยงล่ะครับ นายครับ... พวกเราทำงานมาตลอดปี ตลอดชีวิตการรับราชการที่ผ่านมา ถ้าถามว่าเหนื่อยมั๊ย ทุกคนก็ตอบว่าเหนื่อย แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อ ก็มันหายเหนื่อยนี่ครับเมื่อได้พัก ตลอดชีวิตราชการ 20 ปี ที่ผ่านมา สำหรับผมแล้วไม่เคยได้ยินนายถามว่า “ทำงานนี้เหนื่อยใจกันบ้างไหม” (คนอื่นไม่รู้นะ) นายมองพวกเราแต่ภายนอก นายมองพวกเราเหมือนกรรมกร เมื่อทำงานเหนื่อยกาย ได้พักผ่อนก็หาย แต่นายไม่เคยดูไปถึงใจว่าเหนื่อยแค่ไหน ทำไมผมจึงพูดแบบนี้ นายครับ... นายรู้ไหมว่าพวกเราเหนื่อยใจแค่ไหนกับการที่จะต้องมาคอยทำอะไรให้ถูกใจนาย หนังสือแต่ละฉบับกว่าจะถึงคนที่มีอำนาจลงนามได้ ต้องผ่านนายตั้งกี่คน แถมยังเอาไปกั๊กไว้อีก พวกเราต้องทำให้ถูกใจทุกคน จนบางทีไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่นายแต่ละคนต้องการไม่เหมือนกัน ทำงานต้องยึดระบบเป็นหลัก สิครับ ทำไมต้องยึดตัวบุคคลเป็นหลัก แบบนี้พวกเราเหนื่อยใจมั๊ยครับ นายก็เคยเป็นลูกน้องแบบพวกเรามาก่อน นายลืมอดีตแล้วเหรอครับ

นายครับ... ทำไมงานทุกเรื่องที่มีเรื่องงบประมาณ เรื่องเงิน เรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีปัญหาทุกทีล่ะครับ นายอย่าคิดสิว่าที่มันมีปัญหาเพราะอะไรนั้น พวกเราจะไม่รู้ พวกเรารู้ครับแต่น้ำท่วมปากพูดมากไม่ได้ เพราะนายมีอำนาจ ชี้เป็น ชี้ตาย ต่อชีวิตราชการของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชีวิตครอบครัวของพวกเรา นายครับ...นายเป็นผู้นำโดยการแต่งตั้ง นายไม่ได้เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ภาวะผู้นำจึงไม่เหมือนกัน นายไม่มีจิตวิญญาณเหมือนผู้นำโดยธรรมชาติ พวกเราเข้าใจครับว่าระบบราชการ ว่ามีความจำเป็นต้องมีผู้นำโดยการแต่งตั้ง แต่นายก็สร้างภาวะผู้นำให้กับตัวเองได้นี่ครับ นายมีความรู้ นายใช้งบประมาณในการอบรมเพิ่มพูนความรู้มาก็เยอะ นำความรู้มาใช้สิครับ อย่าเอาความรู้ที่มีเพื่อหาช่องว่างหรือช่องทางสำหรับการหาผลประโยชน์ให้กับตนเองสิครับ นายครับ... ผลประโยชน์ที่นายต้องการ นายก็เอาไปเถอะครับพวกผมไม่ว่าอะไรนายอยู่แล้ว พวกเราเข้าใจถึงความจำเป็นว่านายต้องใช้มัน แต่พวกเราขอร้องว่าอย่าเบียดบังสิทธิในส่วนของพวกเราที่พึงจะได้สิครับ เพราะนั่นมันคือพวกเราและครอบครัวนะครับ นายอย่าทำให้งานพวกเราเสียหรือล่าช้า เพียงเพื่อต้องการเบียดบังสิทธิบางส่วนของเราสิครับ นายกั๊กงานของพวกเราทำไมครับ นายบอกสิครับว่านายต้องการอะไรงานพวกเราจะได้ไม่เสียหรือล่าช้า นายทำเพียงเพื่อให้ใครไปติดต่อนายแล้วบอกว่าเดี๋ยวพวกเราก็ต้องแบ่งให้ นายอยู่แล้ว นายผ่านงานให้เถอะครับ อย่างนั้นใช่มั๊ยครับ หรือนายจะปฏิเสธว่าไม่จริง นั่นมันเป็นสิทธิของพวกเราที่พึงจะได้นะครับ ขอร้องให้นายไปหาจากส่วนอื่นได้มั๊ยครับ นายครับ...ตอนนี้กำลังมีการแต่งตั้งโยกย้าย นายอย่าเอาพวกเราที่อยู่พื้นที่เสี่ยงอันตรายมาเป็นข้ออ้างเพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์ในการแต่งตั้งให้สวยหรูดูดี แต่สุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็ไม่พ้นเด็กนาย นี่ไม่รวมถึงพวกดักไซแห้งนะนาย พวกเราที่เขาเดือดร้อนถ้าเขารู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับการแต่งตั้ง เขาจะรู้สึกยังไงครับนาย ทั้งๆที่เขาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เราอยู่สุขสบายกัน นายครับ...พวกเราทำงานกันมาแบบเหนื่อยใจ เพราะเรื่องเช่นนี้มาเป็นปีๆ แล้วนะครับ มีนายคนไหนสนใจแก้ปัญหานี้ให้พวกเราเปล่าครับ นายไม่รู้ หรือว่านายรู้ หรือว่านายรู้แล้วแกล้งทำไม่รู้ พวกเราตั้งใจทำงานให้สมกับที่เป็น “ข้าราชการ” นายอยากได้อะไรนายก็เอาไปสิครับ งานผิดพลาดท่านด่าแต่พวกเรา ท่านมองตัวเองหรือเปล่าครับว่าเกิดจากอะไร ท่านเคยมองคนที่อยู่หน้าห้องบ้างมั๊ยครับว่าอยุ่ครบหรือเปล่า ว่าทำอะไรกันอยู่หรือเปล่า นายอย่าเป็นคนปากอย่างใจอย่างสิครับ ลูกน้องเขามองอยู่เขาเห็นนะครับ นายอย่าคิดว่านายมีอำนาจสิ สักวันอำนาจมันก็หมดได้ครับ เวรกรรมมีจริงนะครับนาย
นายครับ... ผมไม่ได้ว่านายทุกคนนะครับ เป็นเฉพาะบางคน แต่นานวันเข้ในเมื่อนายทุกคนไม่สนใจที่จะร่วมกันแก้ไข ผมจึงถือว่าทุกคนรู้เห็นเป็นใจกันไม่สนใจพวกเรา พวกเราเหนื่อยใจในการทำงานครับนาย งานเลี้ยงปีใหม่ที่นายจัดให้พวกเราพร้อมของขวัญ พวกเราขอบคุณมากครับ มันก็คงทำให้พวกเราหายเหนื่อยในชั่วข้ามคืนล่ะครับ ของขวัญ (ได้มายังไงไม่อยากรู้)เราก็ดีใจกันล่ะครับ แต่ก็ชั่วข้ามคืนเช่นกัน วันจันทร์พวกเราก็ต้องกลับไปทำงาน ในสภาพเดิมๆอีก และคงเป็นเช่นนี้ต่อไป


นาย ครับ... ผมไม่ต้องการงานเลี้ยงครับ ผมต้องการทำงานแบบสบายใจ เหนื่อยกายแค่ไหนผมทนได้ครับ แต่ขอร้องว่าอย่าทำให้เหนื่อยใจได้มั๊ยครับ ของขวัญปีใหม่ ผมต้องการแค่นี้แหละครับนาย ปล. นายอ่านบทความนี้แล้ว นายอาจจะไม่พอใจ แต่ผมขอให้นายเปิดใจยอมรับความเป็นจริงที่มันมีอยู่จริงนะครับ แล้วช่วยแก้ไข แล้วนายจะไม่พบบทความในลักษณะเช่นนี้อีก ขอบคุณ...ภาพจากอินเตอร์เน็ต

10/28/2551

ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ



เปิดระเบียบ สตช. ต้องถอดยศ"แม้ว" จาก"พันตำรวจโท"เหลือแค่"นาย"เหตุถูกศาลฎีกา"สั่งจำคุก-หนีคดีอาญา"

ผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป

การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา จำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 และ 122

ไม่เพียงแต่เป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) หรือเทียบเท่าชั้น"เจ้าพระยา"ที่ได้รับพระราชทานคืนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์พ.ศ. 2548 เท่านั้น

แต่ยังป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ถูกถอดยศ "พันตำรวจโท"ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547และ ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547

ตาม พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 นั้น กำหนดเรื่องการ"ถอดยศ"นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรไว้ในมาตรา 28 และ 29 ดังนี้

มาตรา 28 การถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ

มาตรา 29 การให้ออกจากว่าที่ยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือการถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้น ประทวน ให้ผู้มีอำนาจสั่งตามมาตรา 26 วรรคสาม หรือมาตรา 27 แล้วแต่กรณี สั่งได้ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากมาตรา 28 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออก"ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547" มี พล.ต.อ. สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามและประกาศ ณ วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2547

สำหรับรายละเอียดของระเบียบดังกล่าว มีดังนี้

เนื่องจากผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4)มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม
(2)ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
(3)ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต
(4)กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ
(5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
(7)ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ

ข้อ 2 หน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาและดำเนินการถอดยศตำรวจ

(1) ข้า ราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้กองวินัย หรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัยมีหน้าที่รับผิด ชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 แล้วแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ให้กองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาถอดยศ เว้นแต่กรณีตามข้อ 1(7) เมื่อมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้วให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการส่งเรื่องให้ กองทะเบียนพล รวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาถอดยศต่อไป

(2) ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งยศเป็นผู้รับผิดชอบในการ พิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ ๑ แล้วดำเนินการสั่งถอดยศ พร้อมทั้งรายงานให้สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ผ่านกองทะเบียนพล) ทราบ

(3) ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือถูกฟ้องในคดีล้มละลายอันเนื่องมาจากการก่อหนี้สินขึ้นโดยทุจริตของผู้ที่ดำรงยศตำรวจทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว หรือยังคงรับราชการอยู่ในหน่วยงานอื่นของรัฐหา ข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้วส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกอง ทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ถอดยศต่อไป

จากระเบียบดังกล่าวจะเห็นว่า พฤจิกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเหตุในการ"ถอดยศ"ถึง 2 ข้อคือ

(2) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท

(6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการในเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

หนึ่ง ในส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกนั้น ให้กองวินัย หรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัยมีหน้าที่รับผิด ชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศแล้วแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง ให้กองทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาถอดยศ

สอง ในส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีคดีออาญาไปอยูที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้นให้ทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับทราบข้อมูลการต้องหาคดีอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา ของผู้ที่ดำรงยศตำรวจทั้งในส่วนของผู้ที่พ้นจากราชการไปแล้ว หาข้อมูลเบื้องต้นให้แน่ชัดแล้วส่งเรื่องให้กองวินัยพิจารณา หากเห็นว่าผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศก็ให้ส่งเรื่องไปยังกอง ทะเบียนพลดำเนินการรวบรวมเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ถอดยศต่อไป

จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เห็นชัดว่า แล้วว่า พฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเหตุตามระเบียบทั้ง 2 ประการ จึงอยู่ที่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบหรือไม่

ทั้งนี้คงต้องดูที่ผลว่า ในที่สุดแล้ว "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" จะมีสถานะเพียง"นายทักษิณ ชินวัตร"หรือไม่

6/17/2551

ตำรวจเคาะกะลา ให้หมา ดีใจอีกแล้วครับท่าน




ถ้า​ใครติดตามข่าว​ ​จะ​มี​อยู่​วันหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยว​กับ​การเลื่อนยศ
ให้​กับ​ข้าราชการตำ​รวจชั้นประทวน​ ​ที่มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป

เขา​เคาะกะลา​ให้​หมา​ดี​ใจอีก​แล้ว​ ​ซึ่ง​สร้าง​ความ​ฮือฮา​ให้​แวดวงตำ​รวจชั้น​ผู้​น้อยพอสมควร​ ​ครั้งนี้​ไม่​ใช่​ครั้งแรก
ที่มีข่าวลักษณะ​เช่นนี้ออกมา​ ​มีมาหลายครั้ง​แล้ว​ก็​เงียบหายไป​ ​และ​ครั้งนี้ก็คง​จะ​ไม่​แตกต่าง​จาก​ครั้งที่​แล้วๆ​ ​มา​ ​มันก็คง​ต้อง
เป็น​ไป​ใน​รูปแบบเดิม​ ​คน​ให้​ข่าว​เขา​หวังอะ​ไร​ ​บ่อยครั้งที่สำ​นักงานตำ​รวจแห่งชาติ​เปลี่ยนบริหารระดับสูง​ใหม่​
และ​นโยบายลำ​ดับแรก​ ​ๆ​ ​ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา​ ​ก็คือ​ ​ข้าราชการตำ​รวจชั้นประทวน​หรือ​ข้าราชการตำ​รวจชั้น​ผู้​น้อยนี่​แหละ
เป็น​ตัวประกอบที่ค่าตัวถูก​ ​และ​ใช้​งาน​ได้​ดี​ ​เดี๋ยวนี้สำ​นักงานตำ​รวจแห่งชาติก็บริหารงานแบบนักการเมือง
คือสร้างนโยบายประชานิยมเหมือน​กัน​ ​บริหารงานแบบคิดเอา​เองเบ็ดเสร็จ​ ​ไม่​เคยถามว่าหน่วยล่าง​ ​ผู้​ใต้​บังคับบัญชา
เขา​ต้อง​การอะ​ไร​ ​แต่​เวลาทำ​อะ​ไรก็​จะ​อ้างเอาตำ​รวจชั้น​ผู้​น้อยนี่​แหละ​ ​เหมือนนักการเมืองมัก​จะ​อ้างประชาชน
เพื่อประ​โยชน์​ส่วน​ตน​และ​พวกพ้องนั่นแหละ

​ใคร​จะ​ว่าท่านเสรีพิสุทธิ์ฯ​ ​ว่า​เป็น​เช่นไร​ ​ท่าน​จะ​ผิด​หรือ​จะ​ถูก​หรือ​ไม่​อย่างไร​ ​ซึ่ง​นักการเมืองก็ตัดสิน​ให้​ท่านไป​แล้ว
ยัง​เหลือแต่การพิสูจน์​ใน​ชั้นศาล​ ​แต่ผมเคารพนับถือท่าน​ ​ใน​ฐานะที่ท่าน​ ​พูดจริงทำ​จริง​ ​ท่านบอกว่าท่าน​จะ​เอาข้าราชการตำ​รวจที่มี
วุฒิปริญญา​ ​มี​ความ​รู้​ ​ใฝ่รู้​ ​ใฝ่​เรียน​ ​มา​เป็น​นายตำ​รวจชั้นสัญญาบัตร​ ​ท่านบอกว่า​จะ​รับบุคคลภายนอกที่มีคุณวุฒิปริญญามา​เป็น​นายสิบตำ​รวจ
เพื่อเตรียมตัว​เป็น​นายตำ​รวจชั้นสัญญาบัตร​ใน​โอกาสต่อไป​ ​ท่านก็ทำ​ตามที่ท่านพูด​ ​ละทำ​ได้​จริง​ ​ๆ​ ​เพื่อขวัญ​และ​กำ​ลังใจของข้าราชการตำ​รวจ
ซึ่ง​ก็​ไม่​ต้อง​ใช้​งบประมาณมา​เหมือนรับตำ​รวจ​ใหม่​เลย​ ​ดีกว่ารับลูกนักการเมือง

ลูกข้าราชการชั้น​ผู้​ใหญ่​เลว​ ​ๆ​ ​มาสร้างปัญหา​ให้​สังคม
ใน​ขณะที่คน​อื่น​พูด​แล้ว​ ​พูดอี​แต่​ไม่​เคยทำ​ ​ไม่​จริงใจ​ ​พอเอา​เข้า​จริง​ ​ๆ​ ​ก็ติดปัญหา​โน่น​ ​ติดปัญหานี่​ ​แทนที่​จะ​คิดว่าทำ​ยัง​ไง​ไม่​ให้​มีปัญหา
แต่กลับไปคิดเอาว่า​ถ้า​ทำ​แบบนี้ปัญหามันคืออะ​ไร​ ​คิด​จะ​หา​แต่ปัญหา​ ​และ​เมื่อไหร่มัน​จะ​หมดปัญหาล่ะ​ ​เมื่อตั้งหน้ตั้งตา​จะ​หาปัญหา
ไม่​ใช่​ตั้งหน้าตั้งตา​แก้ปัญหา​
สุดท้ายก็​..." ​บัวแล้งน้ำ​ "

คราวนี้ก็​... ​เคาะกะลา​ ​เหมือนเดิม
ถ้า​ "ควาย​ไม่​ทอ​ ​ลอกอ​ไม่​หักทับ​ ​หรือ​หมาขี้​เรื้อนขึ้นขน" ​คง​ไม่​ได้​อย่างที่พูด​กัน

6/03/2551

พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑




พ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551

ซึ่งจะทำให้หญิงซึ่งแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสแล้ว

สามารถที่จะเลือกใช้'นาง'หรือ'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ

และหญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วหากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลง

จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง'หรือ 'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ

โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน

นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือประมาณวันที่ 4 มิถุนายน 2551

ส่วนเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ โดยที่การใช้คำนำหน้านามของหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว

ต้องใช้คำนำหน้านามว่า'นาง'คำเดียว โดยมิอาจเลือกได้ตามความสมัครใจ

ทำให้เกิดผลกระทบต่อหญิงดังกล่าวในการดำรงชีวิตประจำวัน

อาทิ การประกอบอาชีพ การศึกษาของบุตร และการทำนิติกรรมต่าง ๆ

ส่งผลให้การใช้คำนำหน้านามในลักษณะดังกล่าวของหญิง

มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล

เพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศสมควรกำหนดให้หญิงมีทางเลือก

ในการใช้คำนำหน้านามตามความสมัครใจซึ่งเป็นการสอดคล้อง

กับการเลือกใช้นามสกุลตามกฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล

สำหรับรายละเอียดของพ.ร.บ.ฉบับนี้มีดังนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า 'พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑'

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน

นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบการใช้คำนำหน้านามหญิงเป็นอย่างอื่น

ตามที่มีกฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๔ หญิงซึ่งมีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ให้ใช้คำนำหน้านามว่า 'นางสาว'

มาตรา ๕ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง' หรือ

'นางสาว'ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมาย

ว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

มาตรา ๖ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว หากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลง

จะใช้คำนำหน้านามว่า 'นาง'หรือ 'นางสาว' ได้ตามความสมัครใจ

โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

รักษาการตามตามพระราชบัญญัตินี้


โดย มติชน วัน พฤหัสบดี ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551


สิ่งที่ทนที่สุด


...สิ่งที่ทนที่สุด
คือ "หน้า"
สิ่งที่กล้าที่สุด คือ "ใจ"
สิ่งที่ไวที่สุด คือ "ปาก"
สิ่งที่มากที่สุด คือ "อารมณ์"
สิ่งที่คมที่สุด คือ "คำพูด"...


5/16/2551

...แม่กูสอน...

มีความหมายดีมากๆ จึงอยากให้อ่านด้วยกันครับ!

เพื่อน ๆ บอกผมว่า
ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บ
ป่วยจะลำบาก

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร
หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกั นทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้
ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์
แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า
คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ " แม่กูสอน"
แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......กูรักแม่ว่ะ

ใครไม่รัก..................กูรัก



5/14/2551

ตลกฝรั่งที่คนไทยไม่ตลก



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก

พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ของวิเศษต่าง ๆ พระองค์เริ่มต้นด้วยการสร้างมหาสมุทรทั้ง 7 โดยการวางของวิเศษของพระเจ้า

พระองค์จะต้องวางทั้งของดีและของไม่ดีคู่กันไป เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่น

ทรงเอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการา วางไว้ให้อเมริกา

แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่ากับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย

เอาป่าเมซอนวางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่าวางไว้ให้ด้วย

เอาขั้วแม่เหล็กโลกวางไว้ในแคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้

เอาเทือกเขาหิมาลัยให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก

แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งไว้ให้

ทุกประเทศจะให้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมดจึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน

คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็ก ๆทางแหลมอินโดจีน

ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัย แต่ด้วยความที่สูงมาก

จึงเกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด ข้าวของดี ๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่น ๆ

เช่น ชายหาดสวย ๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมดี ๆ อาหาร อร่อยที่สุดในโลก ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด

ว้า .!.. แย่แล้ว พระเจ้าทรงคิด ประเทศนี้ท่าทางต้องเจริญ

กว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดแน่นอน พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล

แต่ก็สายเสียแล้วพระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหวให้ญี่ปุ่นไปแล้ว

ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ประเทศอื่น ๆ จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม

จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่าประเทศอื่น ๆ ได้

เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ไม่ให้ล้ำไปกว่าประเทศอื่น ๆ

ว่าแล้ว พระองค์ก็เลยสร้างนักการเมืองไทยขึ้นมา

ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ละก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหนไทยก็ไม่มีวันเจริญ
........................................