ถ้าใครติดตามข่าว จะมีอยู่วันหนึ่งที่มีข่าวเกี่ยวกับการเลื่อนยศ ให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ที่มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป เขาเคาะกะลาให้หมาดีใจอีกแล้ว ซึ่งสร้างความฮือฮาให้แวดวงตำรวจชั้นผู้น้อยพอสมควร ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวลักษณะเช่นนี้ออกมา มีมาหลายครั้งแล้วก็เงียบหายไป และครั้งนี้ก็คงจะไม่แตกต่างจากครั้งที่แล้วๆ มา มันก็คงต้อง เป็นไปในรูปแบบเดิม คนให้ข่าวเขาหวังอะไร บ่อยครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนบริหารระดับสูงใหม่ และนโยบายลำดับแรก ๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ก็คือ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนหรือข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยนี่แหละ เป็นตัวประกอบที่ค่าตัวถูก และใช้งานได้ดี เดี๋ยวนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็บริหารงานแบบนักการเมือง คือสร้างนโยบายประชานิยมเหมือนกัน บริหารงานแบบคิดเอาเองเบ็ดเสร็จ ไม่เคยถามว่าหน่วยล่าง ผู้ใต้บังคับบัญชา เขาต้องการอะไร แต่เวลาทำอะไรก็จะอ้างเอาตำรวจชั้นผู้น้อยนี่แหละ เหมือนนักการเมืองมักจะอ้างประชาชน เพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องนั่นแหละ ใครจะว่าท่านเสรีพิสุทธิ์ฯ ว่าเป็นเช่นไร ท่านจะผิดหรือจะถูกหรือไม่อย่างไร ซึ่งนักการเมืองก็ตัดสินให้ท่านไปแล้ว ยังเหลือแต่การพิสูจน์ในชั้นศาล แต่ผมเคารพนับถือท่าน ในฐานะที่ท่าน พูดจริงทำจริง ท่านบอกว่าท่านจะเอาข้าราชการตำรวจที่มี วุฒิปริญญา มีความรู้ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มาเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ท่านบอกว่าจะรับบุคคลภายนอกที่มีคุณวุฒิปริญญามาเป็นนายสิบตำรวจ เพื่อเตรียมตัวเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรในโอกาสต่อไป ท่านก็ทำตามที่ท่านพูด ละทำได้จริง ๆ เพื่อขวัญและกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งก็ไม่ต้องใช้งบประมาณมาเหมือนรับตำรวจใหม่เลย ดีกว่ารับลูกนักการเมือง ลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เลว ๆ มาสร้างปัญหาให้สังคม ในขณะที่คนอื่นพูดแล้ว พูดอีแต่ไม่เคยทำ ไม่จริงใจ พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ติดปัญหาโน่น ติดปัญหานี่ แทนที่จะคิดว่าทำยังไงไม่ให้มีปัญหา แต่กลับไปคิดเอาว่าถ้าทำแบบนี้ปัญหามันคืออะไร คิดจะหาแต่ปัญหา และเมื่อไหร่มันจะหมดปัญหาล่ะ เมื่อตั้งหน้ตั้งตาจะหาปัญหา ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหา สุดท้ายก็..." บัวแล้งน้ำ " คราวนี้ก็... เคาะกะลา เหมือนเดิม ถ้า "ควายไม่ทอ ลอกอไม่หักทับ หรือหมาขี้เรื้อนขึ้นขน" คงไม่ได้อย่างที่พูดกัน |
....ผู้ปิดทองหลังพระ คือ ผู้ทำให้องค์พระงามสมบูรณ์.... “…การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับ สอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…” พระบรมราโชวาท
6/17/2551
ตำรวจเคาะกะลา ให้หมา ดีใจอีกแล้วครับท่าน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น